วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

การแพทย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์และใกล้ประวัติศาสตร์ของประเทศไทย โดย นายแพทย์สุด แสงวิเชียร

ประเทศไทยมีการแพทย์สองอย่าง คือ
๑. การแพทย์พื้นบ้าน ชาวบ้านได้ใช้กันมาเป็นเวลานาน ขณะนี้ประชาชนจำนวนมากก็ยังใช้กันอยู่ ปัจจุบันเรียกว่า การแพทย์แผนโบราณไม่ได้ใช้ว่า "การแพทย์เดิมหรือการแพทย์พื้นบ้านของไทย"
๒. การแพทย์แผนปัจจุบันนำเข้ามาโดยชาวตะวันตก เรียกกันในขณะนี้ว่า "การแพทย์แผนปัจจุบัน" การ

แพทย์แผนโบราณอาจเกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน ขณะที่มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยปัจจุบันรู้จักอยู่กันเป็นหมู่เหล่า รู้จักเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ จากผลของการขุดค้นพบว่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้และรวมกันเป็นหมู่เหล่านั้น จะปรากฏเมื่อประมาณ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ร่องรอยที่เชื่อว่าอาจมีบุคคลที่ทำหน้าที่คล้ายกับเป็นหมอหรือแพทย์ ก็คือ การพบสัญลักษณ์ที่อาจสันนิษฐานได้ว่าเกี่ยวเนื่องกับการเจ็บป่วย คือในโครง ที่ B.๑๐ หลุม BKI ที่ขุดโดยคณะสำรวจเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ ที่หมู่บ้านเก่า ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
โครงนี้นอกจากจะมีเครื่องปั้นดินเผา ขวานหิน เปลือกหอยแล้ว ยังมีวัตถุอื่นที่แปลกออกไปจากโครงอื่นๆ อีก ๒ อย่าง ชิ้นหนึ่ง เป็นแผ่นหินรูปกลม มีรูเจาะตรงกลาง ขอบค่อนข้างคม มีรอยชำรุดเล็กน้อย และมีรอยกะเทาะค่อนข้างชัดเจน ๒ รอย ผิวขัดเล็กน้อยให้เรียบ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๒๕.๑ เซนติเมตร รูที่เจาะกว้าง ๗.๑ เซนติเมตร ขนาดของรูไม่โตพอที่จะสอดเข้าไปในแขนได้ อีกชิ้นหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขากวางข้างหนึ่ง (Cervus unicolor equinus) กิ่งแรกที่แยกออก (กิ่งรับหมา) ได้ถูกตัดออกไป ที่รอยตัดถูกทำให้เป็นรูกลวง ส่วนของเขาที่ต่อขึ้นไปถูกทำให้เกลี้ยง แล้วตัดที่ปลายกิ่งที่แยกออกไป ๒ กิ่ง ถัดเข้ามาเป็นรอยควั่น ขนานกับรอยตัดกิ่ง ทำให้เป็นรูเช่นเดียวกับกิ่งแรกขนาดยาว ๓๒.๕ เซนติเมตร ในรายงานสมบูรณ์ นายซอเรนเซน (Mr.Sorensen) แจ้งว่า ไม่ทราบว่าใช้สำหรับทำอะไร แต่ในรายงานย่อยสันนิษฐานว่าโครงที่พบกับเครื่องมือดังกล่าวอาจทำหน้าที่เป็นหมอ และเขากวางใช้ในการพิธีรักษา ต่อมาในการ ขุดค้นที่ตำบลทัพหลวง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เป็นโครงของสมัยทวารวดี ก็ได้พบอีกชั้นหนึ่งแต่ชำรุด ชิ้นที่ ๓ ชาวบ้านขุดค้นได้จากหมู่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เป็นของยุคสำริด เป็นเขาของกวางขนาดใหญ่ มีขนาดยาวเพียง ๑๕ เซนติเมตร มีรอยตัดทั้งกิ่งรับหมาและกิ่งที่ต่อขึ้นไป แต่ไม่ยาวไปถึงส่วนที่จะแบ่ง เช่นที่พบที่หมู่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี ชิ้นที่ ๔ พบที่ ตำบลโพธิ์หัก จังหวัดราชบุรี การพบนี้อาจจะมีคำโต้แย้ง เพราะโครงกระดูกทั้ง ๔ แห่งนี้ได้มีประเพณีนำส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์ไปทำเป็นเครื่องเซ่น สัตว์ที่พบมากก็คือหมู โดยมากใช้ส่วนหัวของหมู พบได้เป็นจำนวนมากกับโครงกระดูกที่ขุดพบ แต่เขากวางเป็นของพบได้น้อย และส่วนที่เป็นเขาก็ไม่ได้ใช้เป็นอาหาร การใช้เขากวางจึงเป็นเหมือนเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเป็นเครื่องใช้สอยถูกนำไปวางไว้เป็นเครื่องเซ่น การใช้เขากวางเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับการแพทย์ ได้พบเป็นรายงานอีกแห่งหนึ่ง คือ การเขียนรูปแพทย์ (medical man) หรือหมอผี (witch doctor) ที่ผนังของถ้ำในเทือกเขาพีรีนีส (Pyrenees) มีชื่อว่า ถ้ำเลส์ ตรัวส์ แฟรร์ (Les Trois Freres) อยู่ในประเทศฝรั่งเศส ภาพที่เขียนเป็นภาพคน คลุมด้วยหนังของสัตว์ชนิดหนึ่ง มีส่วนขาและแขนเขียนลายเป็นแถบๆ แต่ที่หัวมีเขากวางติดอยู่ ประมาณว่าเป็นภาพที่เขียนในสมัย โอริกเนเซียน (Aurignacian) ในตอนกลางของทวีปยุโรป
จากข้อความดังกล่าว ประกอบกับคำอธิบายเป็นส่วนตัว จาก นายซอเรนเซน สันนิษฐานว่าเขากวางที่พบในประเทศไทยนั้น อาจใช้แต่งประกอบกับศีรษะของหมอผี หรือรูปสลักเป็นรูปคน แล้วเอาเขากวางที่ตัดตกแต่งแล้วไปประดับ ไม่ใช่เขากวาง ทั้งชิ้นประดับเช่นในรูป
การพบนี้อาจมีความสำคัญเกี่ยวกับการสืบเนื่องถึงพิธีกรรม ที่อาจทำสืบต่อกันมาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยหินใหม่ที่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี (ประมาณ ๔,๐๐๐ ปี) ถึงสมัยทวารวดี ที่ตำบลทัพหลวง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม (๑,๒๐๐ ปี) หลักฐานประการที่ ๒ ที่แสดงว่าได้มีการรักษากันจริงๆ ก็ คือ การเจาะกะโหลกให้เป็นรูทะลุ ซึ่งศัพท์แพทย์ใช้ว่า ทรีไฟนิง (trephining) หรือ ทรีแพนนิง (trepanning) พบที่บ้านธาตุ ใกล้บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และเป็นโครงกระดูกสมัยเดียวกัน คือ สมัยสำริด หรือสมัยโลหะ รูที่พบอยู่ทางด้านซ้ายของกะโหลกในบริเวณขมับ ซึ่งเป็นกระดูกเทมปอรัล (temporal bone) มีขนาด ๙ x ๑๐ มิลลิเมตร อยู่สูงจากรูหู ๔๐ มิลลิเมตร การเจาะรูในกะโหลกในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้พบหลายแห่งของโลก มนุษย์สมัยหินใหม่ที่อาศัยอยู่ในทวีปยุโรปก็ทำกัน พบได้หลายแห่ง พบมากในประเทศฝรั่งเศส พบได้บ้างในประเทศออสเตรีย โปแลนด์ รัสเซีย เยอรมนี และสเปน นอกจากทวีปยุโรปยังพบในบริเวณที่เป็นเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก พบใน
อเมริกาเหนือและใต้ ในแอฟริกาและเอเชีย เป็นการรักษาที่ไม่ตรงกับจุดประสงค์ของการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งจะทำการ รักษาเมื่อมีหลอดโลหิตแตกในกะโหลก หรือเจาะแล้วเปิดกะโหลกให้กว้าง เพื่อรักษาก้อนทูมหรือหลอดเลือดที่แตกลึกเข้าไปในเนื้อสมอง แต่การกระทำในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อาจทำเพื่อปล่อยสิ่งที่บุคคลในสมัยนั้นเชื่อว่าทำให้เกิดการปวดศีรษะ
อย่างแรง หรือทำให้ผู้ป่วยเป็นลมบ้าหมู
หลักฐานเกี่ยวกับหมอผี และการรักษาซึ่งถือเป็นการแพทย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของประเทศไทยคงพบได้เพียง ๒
อย่างตามที่กล่าว แต่โรคที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยังมีอีกหลายโรค แต่การศึกษายังไม่กว้างขวางพอที่จะกล่าวในขณะนี้ได้
ในการขุดค้นที่หมู่บ้านเก่า ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ได้พบหลักฐานการเป็นโรค คือ
๑. มีกระดูกสันหลังส่วนเอวชิ้นที่ ๑ หัก พบหนึ่งโครง (B.K.I, B.I) มีผลทำให้ส่วนตัวของกระดูก (body) แฟบลงไป และทำ ให้ข้อต่อของกระดูกสันหลังติดกัน เคลื่อนไหวไม่ได้ดี (spondylosis)
๒. มีฟันผุและมีรอยลึกในด้านเคี้ยวมากกว่าปกติ
๓. มีกระดูกกะโหลกหนาที่บริเวณกระดูกพาไรอีตัล(parietal bone) บางโครงหนาถึง ๑๑ มิลลิเมตร หนาเนื่องจากเนื้อฟองน้ำหนาขึ้นและชิ้นกระดูกฟองน้ำมีเนื้อหยาบ เกิดจากโรคโลหิตจางชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งยังไม่อาจยืนยันได้ว่าเกิดจากเป็นโรคเนื่องจากสีเลือดหรือไม่ ขณะนี้กำลังศึกษาและค้นคว้าต่อไป พร้อมกับโครงกระดูกที่แสดงการรักษาด้วยวิธีเจาะกะโหลก ได้พบโรคที่เกิดขึ้นกับข้อต่อตะโพกข้างซ้าย ให้คำสันนิษฐานว่าเป็น โรคเปอร์ที (Perthe's disease) อันเป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนหัวและส่วนคอของกระดูกต้นขาข้างนั้น ส่วนหัวหายไปหมด คงเหลือแต่ส่วนคอเพียงเล็กน้อย และมีผลทำให้หลุมที่รับหัวกระดูกต้นขา (acetabulum) เล็กและตื้น
จากแหล่งที่มีการขุดค้นเกี่ยวกับเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ อาจพบโรคอื่นๆ ได้อีก แต่ยังไม่มีรายงานเป็นหลักฐานและอาจมีโรคอะคอนโดรเพลเซีย (Achondroplasia) ซึ่งเป็นโรคสืบต่อกันมาทางพันธุกรรมเป็นกับโครงหนึ่งในสมัยทวารวดีที่ตำบลภูขี้เบ้า จังหวัดขอนแก่น แต่ยังขาดหลักฐาน คือ กระดูกไม่ได้ถูกขุดขึ้นมาตรวจอย่างละเอียด
เนื่องจากหลักฐานที่มีอยู่ในประเทศไทยยังมีอยู่น้อย จึงอาศัยรายงานจากต่างประเทศมาเสริมเพื่อให้เห็นว่า มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนประเทศไทยก็คงไม่แตกต่างกันมากไปจากมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในแหล่งอื่นๆ ของโลก จึงอาจจะมีโรคต่างๆ ได้เช่นกัน

              ร่องรอยแรก ที่แสดงการเป็นโรคในมนุษย์ซึ่งยอมรับกันทั่วไปก็คือ กระดูกต้นขาของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกเมื่อประมาณ ๕๐๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งพบโดย ดร.ดูบัวส์ (Dr.D. Dubois) เมื่อ ค.ศ. ๑๘๙๑ ที่เกาะชวา ที่มีชื่อเดิมว่า ปิธีแคนโทรปุส อีเร็กตุส (Pithecanthropus erectus) ขณะนี้เรียกว่าโฮโม อีเร็กตุส (Homo erectus) เพราะยอมรับในการมีลักษณะของมนุษย์ ซึ่งอยู่ในสกุล (genus) เดียวกับมนุษย์ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสกุลโฮโม กระดูกต้นขาที่พบมีบริเวณใกล้ปลายบน มีกระดูกงอกยื่นออกไปเป็นปุ่มป่ำ บางคนให้เป็นกระดูกงอกธรรมดา บางคนให้เป็นก้อนทูมของกระดูก (osseous tumour) ในมัมมี่ของชาวอียิปต์ พบโรคกระดูกและข้ออักเสบ (osteoarthritis) และโรครูมาติสม์เรื้อรัง (chroniceumatism) โรคเกาต์ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี วัณโรคของกระดูกสันหลังและพบร่องรอยของการอักเสบที่เป็นมาก่อนของไส้ติ่ง แล้วมีเนื้อเยื่อพังผืดมายึดติดล้อมรอบ
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า ๓,๐๐๐ ปี มนุษย์ที่อาศัยในดินแดนที่เป็นประเทศไทยเจริญขึ้น เปลี่ยนจากการใช้หินเป็นวัตถุทำเครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องประดับมาเป็นสำริด และเหล็ก หลักฐานเกี่ยวกับการเจ็บป่วยหรือการแพทย์มีน้อยมาก จากความรู้ปัจจุบันในการสะเดาะเคราะห์ผู้ป่วย หมอทางไสยศาสตร์มักทำพิธี เอาดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปคน รูปสัตว์ พร้อมทั้งทำกระทงมีของกินคาวหวาน ผลไม้ จุดธูปเทียน แล้วลอยไปตามน้ำพร้อมกับรูปปั้น แต่ในที่บางแห่งก็ใช้รูปปั้นวางไว้ตามทางสามแพร่ง แล้วหักคอเสีย เป็นพิธีที่เรียกว่า "พิธีเสียกบาล" แต่เท่าที่มีแสดงในภาพ เป็นหญิง ๒ คน คนหนึ่ง ที่กำลังอุ้มเด็กอยู่เป็นคนมีอายุมากกว่าอีกคนหนึ่ง เพราะมีนมคล้อยไปมากอีกภาพหนึ่ง ส่วนที่กำลังอุ้มหักหายไป ทำให้ไม่ทราบว่ากำลังอุ้มอะไรอยู่ ลักษณะของเต้านมกำลังคัด แสดงว่าท้องใกล้คลอดหรือพึ่งคลอดใหม่ๆ ตุ๊กตาทั้งสองตัวได้มาจากจังหวัดสุโขทัย ไม่ทราบประวัติ แต่ที่ต้องนำเรื่องเกี่ยวกับสุโขทัยมากล่าวก่อน ก็เนื่องจากในการทำเหมืองแร่ดีบุกโดยวิธีฉีดน้ำเข้าไปทำลายดินที่มีดีบุกปะปนอยู่ (เหมืองฉีด) ที่จังหวัดราชบุรีใกล้เขตแดนประเทศพม่า ได้พบตุ๊กตาทำด้วยดินเผา ปั้นไม่มีหัว แต่ที่บริเวณคอทำกลวงลงไป คล้ายทำไว้สำหรับเสียบหัว พบ ชัดเจน ๓ ตัว ตัวหนึ่งทำคล้ายเป็นรูปคนนั่งพนมมือ อีกตัวหนึ่งทำเป็นรูปคล้ายคนยืน แต่ส่วนขาหักไป ที่มือคล้ายถืออะไรอยู่ บอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร รูปที่ปั้น ปั้นได้สวยงามมากก็คือ รูปคนขี่ม้าไม่มีหัว มีคอกลวงเหมือน ๒ ตัวแรก แต่รูปม้าทำเป็น ๒ ซีกประกบกัน ของที่พบที่เหมืองแร่ใกล้พรมแดนพม่านี้ แม้ขณะนี้จะยังไม่ทราบแน่ว่าอยู่ในสมัยที่ใช้วัตถุอะไรทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องประดับ แต่เนื่องจากได้พบเครื่องมือสมัยหินใหม่จำนวนมาก และมีเครื่องสำริดบ้างเล็กน้อย ทำให้สันนิษฐานว่า หลังจากการใช้สัญลักษณ์เป็นเขากวางแล้ว การรักษาการป่วยไข้ ในสมัยต่อมา ได้มีรูปปั้นสะเดาะเคราะห์ผู้ป่วยใช้ด้วย และประเพณีนั้นได้สืบต่อมาจนถึงสมัยสุโขทัย (ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐-๑๙๒๐)
          ถัดขึ้นไปจากสมัยสุโขทัย ประเทศไทยอยู่ในสมัยใกล้ประวัติศาสตร์ (Protohistory) คือสมัยทวารวดี (พ.ศ. ๑๐๐๐ - ๑๕๐๐)หลักฐานเกี่ยวกับการแพทย์คือ การพบเขากวาง ที่ตำบลทัพหลวง จังหวัดนครปฐม ซึ่งมีลักษณะเหมือนที่พบที่บ้านเก่าตามที่ได้กล่าวมา ขณะนี้ยังไม่มีร่องรอยของหลักฐานอื่นๆ ในระยะเวลานี้ประเทศไทยมีการติดต่อกับประเทศใกล้เคียง ประเทศที่ติดต่อกันมากควรจะเป็นประเทศอินเดีย เพราะนอกจากการแพร่ของพุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศไทยแล้ว ประเทศไทยอาจรับลัทธิฮินดูพร้อมกับศิลปะวิทยาอื่นๆ เข้ามาด้วย ซึ่งอาจจะมีวิชาการแพทย์อยู่ด้วย จึงน่าจะได้พิจารณาการแพทย์ของประเทศอินเดียในสมัยนั้น ซึ่งอาจจะเผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย เพราะประเทศไทย ได้รู้จักบุคคลสำคัญในทางแพทย์ของประเทศอินเดียคือ ท่านชีวกโกมารภัจจ์ดีเท่ากับคนอินเดียส่วนมาก นอกนั้นก็มีบันทึกเกี่ยวกับปรัชญาและวิชาการทางวิทยาศาสตร์บ้าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น